๒) ลบสระหลัง เพราะสระหน้าที่มีรูปต่างกัน เช่น อ กับ อิ เป็นต้น ได้บ้าง ด้วยสูตรว่า
วา
ปโร อสรูปา (กัจจ 13 รูป.15)
สระ อันเป็นเบื้องหลัง จากสระ
อันมีรูปต่างกัน ย่อมถึงการลบไปได้บ้าง.
อธิบาย
สูตรนี้เป็นวิธีลบสระหลัง เพราะมีสระอยู่หน้า
คำว่า สระอันมีรูปต่างกัน (อสรูปะ)
ได้แก่ สระที่ต่างกันโดยฐานและกรณ์.
ในทางไวยากรณ์มีการจัดแบ่งวัณณะ หรือ คู่อักษรใช้แทนเสียง ไว้ดังนี้ อ อา เป็น อวัณณะ,
อิ อี เป็น อิวัณณะ, อุ อู เป็น อุวัณณะ.
ดังนั้น อ และอา เป็น สวัณณะกัน คือ มีวัณณะเหมือนกันโดยฐานและกรณ์, สระนอกนี้ เป็น อสวัณณะกับ อ อา, สำหรับ อิ –
อี, อุ –
อู ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน. ส่วนเอ และ โอ ไม่ได้จัดเป็นวัณณะใดเลย
เพราะมีฐานและกรณ์ไม่เหมือนกับสระอื่น. สรุปได้ว่า อ อา อิ อี อุ อู มีเสียงอื่นซึ่งไม่เหมือนตน เรียกว่า เป็นอสรูปะ เช่น อ มี อิ อี อุ อู เอ โอ . นั่นก็คือ
หลังจาก อ หรือ อา ลบ สระ อิ อี อุ อู เอ โอ,
หลังจาก อิ หรือ อี ลบ อ อา อุ อู
เอ โอ ได้ดังนี้เป็นต้น. หลังจาก เอ และ โอ ลบได้ ก็โดยนัยเช่นนี้ คือ หลังจาก
อ ลบ อ อา อิ อี อุ อู และโอ. แต่ในสัททนีติ ท่านกล่าวว่า ระหว่าง เอ กับ เอ, โอ
กับ โอ ก็เป็นอสรูปะกัน ฉะนั้น หลังจากเอ ก็ลบ เอ, หลัง โอ ก็ลบ โอได้ด้วย.
คำว่า ได้บ้าง (วา ศัพท์) นี้
เป็นตัวกำหนดให้เห็นว่า การทำสรสนธิด้วยวิธีลบสระหลังนี้ปรากฏใช้ได้บ้างในบางศัพท์
มิใช่ในทุกศัพท์. คือมีข้อยกเว้นบ้างในบางศัพท์ เช่น
ปญฺจินฺทฺริยํ มาจาก
ปญฺจ + อินฺทฺริยํ ไม่เป็น ปญฺจนฺทฺริยํ ตามสูตรนี้
เพราะในพระไตรปิฎกปรากฏว่ามีแต่รูป ปญฺจินฺทฺริยํ ซึ่งใช้สูตร สรา สเร โลปํ
ทำสนธิ.
ศัพท์เหล่านี้เป็นโลปสรสนธิ
โดยการลบสระหลัง
ยสส
+ อิทานิ เป็น ยสฺสทานิ
|
สญฺญา
+ อิติ เป็น สญฺญาติ
|
ฉายา
+ อิว เป็น ฉายาว
|
กถา
+ เอว เป็น กถาว
|
อิติ
+ อปิ เป็น อิติปิ
|
อสฺสมณี
+ อสิ เป็น อสฺสมณีสิ
|
อกตญฺญู
+ อสิ เป็น อกตญฺญูสิ
|
อากาเส
+ อิว เป็น อากาเสว
|
เต
+ อปิ เป็น
เตปิ
|
วนฺเท
+ อหํ เป็น วนฺเทหํ
|
โส
+ อหํ โสหํ
|
จตฺตาโร
+ อิเม เป็น จตฺตาโรเม
|
วสโส
+ อสิ เป็น วสโลสิ
|
โมคฺคลาโน
+ อาสิ เป็น โมคฺคลาโนสิ
|
ปาโต
+ เอว เป็น ปาโตว
|
จกฺขุ
+ อินฺทฺริยํ เป็น จกฺขุนฺทฺริยํ*
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น