15/10/56

๑๒. เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับอักขรวิธีบาลี - จบสมัญญาภิธาน

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
๑.     วิธีเรียงลำดับอักขระในภาษาบาลี
เนื่องจากภาษาบาลีเป็นภาษาที่เรียกว่า ตันติภาษา  แปลว่า มีระเบียบแบบแผน นอกจากระบบไวยากรณ์ที่เป็นตัวชี้ถึงความเป็นตันติภาษาแล้วนั้น ยังมีแนวคิดที่แน่นอนในการลำดับอักขระ หรือแม้แต่ประโยคคำพูด ที่รวมกันขึ้นเป็นบทเทศนา บทประพันธ์ หรือหนังสือต่าง ๆ อีกด้วย
เรื่องราวของการเรียงลำดับนั้นมีอยู่มากมาย ทั้งนี้โดยอาศัยหลักการที่จะให้ผู้ฟังได้รับทราบถึงความเป็นไปพร้อมทั้งเหตุผลของสภาพหรือเนื้อความที่ได้แสดงไว้นั่นเอง โดยยึดหลักการดังนี้ คือ
๑.  ลำดับโดยอาศัยหลักการแห่งความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น ๆ ที่มีการเกิดขึ้นเป็นลำดับ เรียกว่า อุปปัตติกมะ เป็นต้นว่า การเรียงโลภะ ไว้เป็นลำดับแรก ก่อนโทสะ และโมหะ ก็อาศัยเหตุผลที่ว่า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเมื่อแรกปฏิสนธิในภพนั้น กิเลสที่เกิดขึ้นเป็นอย่างแรก ก็ได้แก่ โลภะ ที่เรียกว่า ภวนิกันติ คือ ความยินดีที่ติดใจอยู่ในภพ ซึ่งเป็นสภาพของโลภะนั่นเอง หรือที่ในปฏิจจสมุปบาท ท่านยกเอาอวิชชาเป็นลำดับแรกของสังสารวัฏฏ์ ก็เพราะอวิชชาเป็นต้นเหตุในการกระทำกรรมต่าง ๆ ที่ให้สัตว์ต้องวนเวียนตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ดังนี้.
๒.ลำดับโดยอาศัยการแสดงที่เรียกว่า  เทสนากมะ ได้แก่ ลำดับที่แสดงไว้โดยการเทศนา แม้แต่ลำดับแห่งการแสดงนี้ ก็ยังมีเหตุผลในการเรียงลำดับอีกด้วย มิใช่สักแต่ว่าเรียงตามลำดับเท่านั้น เช่น ในขันธ์ ๕  แสดงรูปขันธ์เป็นลำดับแรก ทั้งนี้ก็เพราะสัตว์ทั้งหลายโดยส่วนมาก มักลุ่มหลงอยู่ในกองรูป เป็นต้น ซึ่งลำดับการแสดงนี้ได้พัฒนาขึ้นเป็นทฤษฎีต่าง ๆ อีกด้วย.
ดังนั้น การเรียงลำดับอักขระ ก็เรียงไปตามลำดับแห่งการแสดงที่เรียกว่า  
เทสนากมะ เพราะเป็นเรื่องหรือทฤษฏีที่อาจารย์ไวยากรณ์ทั้งหลายแสดงไว้โดยลำดับแห่งแห่งฐานเป็นต้น ทั้งนี้ก็อาศัยเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งจะได้ศึกษากันสืบไป. 
            การเรียงลำดับของอักขระมีแนวคิดดังนี้
            ๑.  สระและพยัญชนะ เรียงสระก่อนพยัญชนะ เพราะอาศัยเหตุผลว่า สระเป็นนิสสัย ที่อาศัย  พยัญชนะ เป็นนิสสิต ผู้อาศัย ดังนั้น ธรรมดาว่า ผู้ให้อาศัย ต้องมาก่อน ผู้อาศัย เปรียบเหมือนกับอาจารย์ผู้เป็นนิสสัย ต้องมาก่อน (คือเป็นผู้นำ) ศิษย์ ผู้เป็นนิสสิต มาอาศัย หรือเปรียบเหมือนกับการสร้างบ้าน ต้องมีสถานที่สร้างก่อน จึงจะสร้างบ้านได้.
            ๒. สระ มี ๒ อย่าง คือ เกิดในฐานเดียว และเกิดใน ๒ ฐาน เรียงสระที่เกิดฐานเดียวก่อน เพราะมีจำนวนมากกว่า เช่น อ อา อิ อี อุ อู เกิดในฐานเดียว มี ๖ ตัว ซึ่งมากกว่า พวกที่เกิดใน ๒ ฐาน คือ เอ โอ.
            ๓. ฐานมี ๖ ฐาน เรียงตามลำดับดังนี้ คือ ๑. กัณฐะ คอ  ๒. ตาลุ เพดาน  ๓. มุทธะ ปุ่มเหงือก  ๔. โอฏฐะ ริมฝีปาก  ๕. ทันตะ ฟัน   ๖. นาสิก จมูก.
เพราะเหตุนั้น สระที่เกิดฐานเดียว มี ๓ พวก คือ กัณฐชะ เกิดในคอ  ตาลุชะ เกิดที่เพดาน  โอฏฐชะ เกิดที่ริมฝีปาก เรียงไปตามลำดับฐาน นั่นก็คือ เรียง อ อา ซึ่งเกิดที่คอ ไว้ก่อนอิ อี ซึ่งเกิดที่เพดาน แล้วเรียงอุ  อู  ซึ่งเกิดที่ริมฝีปาก ไว้เป็นลำดับสุดท้าย.
            ๔.  ในสระที่เกิดฐานเดียวกันนั้น ในกัณฐชะ เรียงตามลำดับลหุ ครุ  คือ เรียงลหุ  ก่อนครุ  ได้แก่ เรียง อ ไว้ก่อน อา เพราะ อ มีเสียงสั้นเป็น ลหุ  อา มีเสียงยาว เป็น ครุ ดังนี้เป็นต้น.
            ๕.  ในสระที่เกิด ๒ ฐานนั้น เรียง เอ ไว้ก่อน โอ เพราะ เอ เกิดในฐานทั้ง ๒ ที่ตั้งอยู่ก่อน คือ คอและเพดาน  ส่วน โอ เกิดที่ คอและริมฝีปาก ซึ่งอยู่ข้างหลัง.
            ๖.  พยัญชนะ ที่มี ๒ อย่างคือ พยัญชนะวรรคและอวรรค เรียงพยัญชนะวรรคไว้ก่อน พยัญชนะอวรรค เพราะมีจำนวนมากกว่า .
            ๗.  พยัญชนะวรรคนั้น มี ๕ คือ กวรรค จวรรค ฏวรรค ตวรรค ปวรรค เพราะแบ่งออกตามฐาน เรียงกวรรคไว้ก่อน เพราะเกิดที่กัณฐฐาน เรียงจวรรค เป็นต้นไปตามลำดับเหมือนกับสระ.
            ๘.  ในพยัญชนะวรรค แต่ละวรรคนั้น มี ๒ อย่าง คือ โฆสะ อโฆสะ เรียงอโฆสะ ก่อน เพราะมีเสียงเบา เช่น ใน  กวรรค นั้น ก ข เป็นอโฆสะ ค ฆ ง เป็นโฆสะ เรียง ก ไว้ก่อน ข และเรียง ค ไว้ก่อน ฆ เพราะก และ ค เป็นสิถิละ มีเสียงเบากว่า ข และ ฆ ซึ่งเป็นธนิตะ ส่วนพยัญชนะที่สุดวรรค นั้นเป็นโฆสาโฆสวิมุตตะ จึงเรียงไว้สุดท้าย.
ข้อสังเกต แม้โฆสะ จะมีจำนวนมากกว่า ก็ไม่ถือเอากฏเกณฑ์นั้น แต่เอาหลักเพียงว่า ที่มีเสียงเบาเอาขึ้นหน้าก่อน.  แม้ในวรรคอื่น ๆ ก็ถือเอานัยเช่นนี้.
๙.  ในพยัญชนะอวรรคนั้น เรียงโฆสะไว้ก่อน เพราะโฆสะมีจำนวนมากกว่า คือ ย ร ล ว ห ฬ แล้วเรียงอโฆสะคือ ส ไว้ทีหลัง เพราะมีจำนวนน้อยกว่า
๑๐.  ในบรรดาโฆสะนั้น เรียงไปตามลำดับฐาน คือ ย เกิดที่ตาลุเรียงไว้ลำดับแรก แล้วเรียงร ล ว ที่เกิดตามลำดับฐาน คือ มุทธะ ทันตะ ทันตนาสิกะไปตามลำดับ
๑๑. ส่วน ห นั้น ถึงเกิดในกัณฐะฐานและเป็นโฆสะ ท่านเรียงไว้ลำดับหลัง ส
ก็เพราะประสงค์จะให้รู้ว่า ในไวยากรณ์เองก็ดี ในพระไตรปิฎกก็ดี ยังมีข้อยกเว้น คือ เรียงไว้ผิดลำดับก็มี.
๑๒. ส่วน ฬ ที่ไว้สุดท้าย ก็เพราะถือว่า เหมือนกับ ล นั่นเอง เพราะชนบางพวกกล่าว ล ไว้ในที่เป็น ฬ ก็มี บางพวกกล่าวตัว ฑ ไว้ในที่ ฬ นั้น เพราะเป็นมุทธชะและโฆสะ หรืออาจเป็นเพราะถือว่าเป็นข้อยกเว้น เช่นเดียวกับ ห นั่นเอง
๑๓.  นิคคหิต ท่านเรียงเอาไว้ในที่สุดของพยัญชนะทั้งปวงทีเดียว เพราะไม่มีเสียง ไม่มีพวกและพ้นจากโฆสะและอโฆสะ นั่นเอง.
v

๒. หลักเกณฑ์ไวยากรณ์ภาษาบาลีเป็นเยภุยยนัย  คือ เป็นนัยที่กล่าวไว้โดยมาก
            ภาษาบาลี ก็คงเหมือนกับทุกภาษาในโลก คือ กล่าวถึงสิ่งที่คนส่วนมากยอมรับและนำมาใช้กันโดยแพร่หลาย ดังนั้น กฎเกณฑ์ต่าง ๆ จึงมีข้อยกเว้นเสมอ ทั้งนี้เพราะหากจะกล่าวให้หมดสิ้นคงจะเป็นไปไม่ได้แน่  ดังนั้น ท่านพระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงหาทางออกให้สิ่งที่เป็นข้อยกเว้นในเรื่องนี้ไว้ โดยวางแนวทางไว้อย่างหนึ่ง คือ ให้เอาหลักเกณฑ์ที่วางไว้แล้วนั้น เป็นเยภุยยนัย นัยที่กล่าวถึงส่วนมากไว้. นอกจากนี้ คำบางคำ ที่อยู่นอกจากกฎเกณฑ์ หรือใช้กันมาก่อนที่จะเกิดระบบไวยากรณ์ ก็มี ซึ่งไม่สามารถจัดเข้าระบบได้ แต่เมื่อใช้กันมานานแล้ว ก็อนุโลมใช้กัน และให้ชื่อว่า เป็นพวกวิปัลลาส ได้แก่ ลิงควิปัลลาส วจนวิปัลลานฃส วิภัตติวิปัลลาส .
            เพราะเหตุนั้น เมื่อเราไปพบคำศัพท์บางคำในพระไตรปิฎก ที่นอกเหนือไปจากไวยากรณ์ที่เคยเรียนมา ก็อย่าได้นำมาใส่ใจหรือระบุว่า สิ่งนั้นผิด ขอให้ถือว่า เป็นคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั่นเอง.
v
๓.  บาลีไวยากรณ์ที่เรียนกันในสมัยนี้
            การเรียนบาลีในสมัยนี้ แยกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑.    ไวยากรณ์ตามหลักสูตรเปรียญธรรม
๒.   ไวยากรณ์ตามคัมภีร์สัททาวิเสส
ไวยากรณ์หลักสูตรเปรียญธรรม หมายถึง บาลีไวยากรณ์ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงนิพนธ์ขึ้นนั่นเอง โดยที่ได้เล็งเห็นความยากลำบากในการศึกษาภาษาบาลีในยุคก่อน เพราะต้องท่องจำสูตรทำตัวรูปต่าง ๆ เป็นอันมากให้จำได้เสียก่อนแล้วจึงมาเรียน ซึ่งทั้งยากและเสียเวลามาก จึงทำให้ผู้แรกศึกษาเกิดความท้อแท้และพาให้เลิกศึกษาไปเสีย แล้วทรงรวบรวมขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยเนื้อหาสาระในคัมภีร์สัททาวิเสส ที่เป็นหลักไวยากรณ์โดยตรงเหล่านั้น ซึ่งใช้คำพูดที่ง่าย ๆ อันเป็นสำนวนในภาษาไทย อธิบายหลักการสร้างรูปคำขึ้น และคัดเอาแต่ที่เป็นพื้นฐานสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนให้เป็นข้อกำหนดจดจำอย่างง่าย ๆ แม้ว่าบาลีไวยากรณ์นี้ จะมีสำนวนที่ง่ายต่อการเรียนรู้ แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดที่เป็นส่วนเบื้องสูงไว้ ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า ยังไม่พอต่อการนำไปใช้ค้นคว้าหลักธรรมในคัมภีร์ต่าง ๆ เช่นพระไตรปิฎกและอรรถกถาเป็นต้นได้
แต่อย่างไรก็ตาม นับว่า ไวยากรณ์เล็กนี้ เป็นอุปการะต่อการศึกษาภาษาบาลีเป็นอย่างมาก เพราะจัดว่าเป็นพื้นฐานการศึกษาเป็นอย่างดีทีเดียว
๒.  ไวยากรณ์ตามคัมภีร์ไวยากรณ์ ได้แก่ การศึกษาไวยากรณ์ในคัมภีร์ไวยากรณ์(ที่เรียกว่า คัมภีร์สัททาวิเสส)โดยตรง และเป็นการศึกษาโดยละเอียด มีเนื้อหากว้างขวางครอบคลุมหลักภาษาได้ทั้งหมด ซึ่งคัมภีร์ไวยากรณ์ใหญ่นี้ มีหลายคัมภีร์ และหลายแนวทาง บางคัมภีร์มุ่งอธิบายหลักภาษาอย่างเดียวกัน เช่น กัจจายนวยากรณ์ โมคคัลลานวยากรณ์ เป็นต้น บางคัมภีร์มุ่งอธิบายหลักภาษาโดยรวมกับความหมายของบทต่าง ๆ (คล้าย ๆ กับสารานุกรม) เช่น สัททนีติปกรณ์ เป็นต้น บางคัมภีร์มุ่งถึงการประพันธ์คำฉันท์อย่างเดียว เช่น วุตโตทัยปกรณ์เป็นต้น บางคัมภีร์มุ่งถึงการรจนาหนังสือ เช่น สุโพธาลังการะเป็นต้น บางคัมภีร์มุ่งกล่าวถึงคำศัพท์อย่างเดียว เป็นปทานุกรม เช่น อภิธานัปปทีปิกา เป็นต้น
 ก่อนนี้ ผู้จะเริ่มศึกษาพระธรรม จำเป็นจะต้องศึกษาคัมภีร์ไวยากรณ์เหล่านี้ให้แตกฉานเสียก่อน จึงจะสามารถเข้าไปศึกษาในคัมภีร์ต่าง ๆ ได้ เพราะไม่มีคำแปลให้ศึกษาเหมือนในสมัยนี้  ต่อมา เมื่อการศึกษาบาลีไวยากรณ์ตามหลักสูตรเปรียญธรรมเกิดขึ้นและเป็นหลักสูตรสำหรับพระภิกษุสามเณรได้ศึกษาเล่าเรียนแล้ว ความนิยมในการศึกษาคัมภีร์ไวยากรณ์เริ่มหมดลง เพราะมีความยากลำบากและไม่มีการเรียนเป็นหลักสูตรภาคบังคับเหมือนแต่ก่อน  (แต่ในประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น พม่า เป็นต้น ยังคงศึกษาและเป็นหลักสูตรเรียนอยู่) เมื่อเป็นเช่นนี้ ไวยากรณ์ใหญ่ นี้ก็เริ่มเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้ศึกษาพระธรรม เหลือแต่เพียงไวยากรณ์ตามหลักสูตรเปรียญธรรมเท่านั้น.
อย่างไรก็ตาม การศึกษาไวยากรณ์จากคัมภีร์ไวยากรณ์นี้ก็เริ่มกลับเข้าเป็นที่สนใจในหมู่นักศึกษาอีกครั้งหนึ่ง เพราะมีการเปิดหลักสูตรเล่าเรียนและได้สร้างบุคลากรขึ้นเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งมีการสร้างหลักสูตร จัดทำตำราหรือคู่มือเพื่อเจาะลึกถึงสาระในคัมภีร์เหล่านั้นขึ้น โดยไม่ได้ทอดทิ้งแนวทางการศึกษาแบบเดิมเลย นับว่า เป็นแนวทางที่จะทำให้การศึกษาคัมภีร์ไวยากรณ์ได้เจริญรุดหน้าไปอีก.

แม้ว่าไวยากรณ์ตามหลักสูตรเปรียญธรรมจะมีรายละเอียดค่อนข้างน้อย แต่ก็เป็นสร้างพื้นฐานบาลีให้แน่น ก่อนไปหาความรู้เพิ่มเติมในคัมภีร์ไวยากรณ์ได้เป็นอย่างดี  ดังนั้น แม้การจะเรียนบาลีให้ได้ผลดีนั้น ก็ควรจะเรียนในคัมภีร์ไวยากรณ์ เพราะมีเนื้อหาครบถ้วน แต่กระนั้น การศึกษาก็มีหลายระดับขั้นตามพื้นฐานของสามารถทางปัญญาของผู้เรียน บางท่านไปเริ่มเรียนในคัมภี์ไวยากรณ์ซึ่งมีความซับซ้อนทั้งทางไวยากรณ์และสำนวนภาษาในการแต่งคัมภีร์ ก็อาจจะท้อแท้และเลิกเรียนไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรเริ่มที่ไวยากรณ์หลักสูตรเปรียญเสียก่อน นัยว่า เป็นพื้นฐานการเรียน อุปมาเหมือนกับการเริ่มเรียนชั้นอนุบาลหรือชั้นประถมศึกษา ในการศึกษาทางโลก ฉะนั้น. และเมื่อเรียนไวยากรณ์เล็กไปแล้ว ควรหาความรู้เพิ่มเติมในคัมภีร์ไวยากรณ์ชั้นสูงสืบไป เหมือนกับเป็นการค้นคว้า วิจัยในขั้นสูงของนักศึกษาชั้นอุดมศึกษา ฉะนั้น.
          v

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น