พยัญชนะ
๑๓. อักษรที่เหลืออีก ๓๓ ตัว มี ก
เป็นต้น มี (- –) นิคคหิต
เป็นที่สุด ชื่อว่า พยัญชนะ เพราะทำเนื้อความให้ปรากฏ.
๑๔. พยัญชนะ ทั้ง ๓๓ ตัวนี้
แบ่งออกเป็น ๒ พวก คือ
๑. พยัญชนะวรรค แยกพยัญชนะ ๒๕
ตัวออกเป็น ๕ พวก ดังนี้ คือ
ก ข ค ฆ ง เรียกว่า กวรรค (อ่านว่า กะ-วัก)
จ ฉ ช ฌ ญ เรียกว่า จวรรค
ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เรียกว่า ฏวรรค
ต ถ ท ธ น เรียกว่า ตวรรค
ป ผ พ ภ ม เรียกว่า ปวรรค
๒. พยัญชนะอวรรค
ได้แก่ พยัญชนะที่เหลืออีก ๘ ตัว ที่ไม่เข้าพวกกับพยัญชนะวรรค ๒๕ ตัวเหล่านั้น คือ
ย ร ล ว ส ห ฬ ๐
ข้อสังเกต
พยัญชนะตัวสุดท้าย คือ ๐ (อ่านว่า
อัง) ในภาษาไทยใช้คำว่า หยาดน้ำค้าง มีชื่อเรียก ๒ อย่าง คือ
- นิคคหิต แปลว่า กดกรณ์ (กรณ์ของนิคคหิต
คือ จมูก) คือ เวลาที่ออกเสียงพยัญชนะนี้ ไม่ต้องอ้าปาก ให้ออกเสียงขึ้นจมูก.
- อนุสาร (บางตำรา
เช่น สัททนีติปกรณ์ เรียกว่า อนุสวระ) แปลว่า ไปตามสระ คือ พยัญชนะนี้ ต้องประกอบกับรัสสสระ คือ
อ อิ อุ เสมอ นั่นก็คือ ต้องมีรูปว่า อํ หรือ อึ
หรือ อุ– เสมอไป
อย่างไรก็ตาม
ในคัมภีร์ไวยากรณ์ที่เห็นในปัจจุบันนี้ ก็เรียกชื่อแต่ว่า นิคคหิต เท่านั้น
ไม่ปรากฏใช้คำว่า อนุสารหรือพินทุ เท่าไรนัก.
- พยัญชนะที่เรียกว่า พยัญชนะวรรค
เพราะตัวอักษรในแต่ละวรรคเข้ากันเป็นพวกเป็นหมู่ได้
เพราะมีเสียงคล้ายคลึงกัน และเกิดจากฐาน (ตำแหน่ง) เดียวกัน เช่น ก
ข ค ฆ
ง นี้ เกิดจากฐาน
(เกิดในที่)เดียวกัน คือ เกิดจากคอ เรียกว่า กัณฐฐาน เพราะอาศัยเหตุนี้ อักษรทั้ง
๕ ตัวนี้จึงรวมเรียกชื่อว่า กวรรค ก็โดยการนำอักษรตัวแรกมาตั้งชื่อไว้นั่นเอง,
ในการตั้งชื่อ จวรรค เป็นต้น ก็มีวิธีเช่นเดียวกัน.
- พยัญชนะที่เรียกว่า พยัญชนะอวรรค
คือ ย ร ล ว เป็นต้น ไม่สามารถจัดเข้ากันเป็นพวกได้เพราะแต่ละตัวมีเสียงต่างกันและมีฐานที่เกิดไม่เหมือนกัน.
v
สระเป็นอักษรออกเสียงได้ตามลำพัง
แต่ทำให้เนื้อความปรากฏไม่ได้ คือให้เข้าใจความหมายไม่ได้
เพราะถ้าไม่มีพยัญชนะมาอาศัย คือประกอบแล้ว เวลาออกเสียงก็จะมีแต่เสียง อ
ไปเสียทุกคำ เช่นเวลาจะพูดว่า ไปไหนมา ก็จะเป็นเสียงว่า “ไอ
ไอ๋ อา” ดังนี้ ซึ่งทำให้ความหมายปรากฏได้ไม่ชัดเจนนั่นเอง.
พยัญชนะจะเป็นอักษรที่ทำเนื้อความให้ปรากฏ
คือสื่อให้รู้ถึงความหมายที่ประสงค์ได้ ก็เพราะเหตุที่อาศัยสระออกเสียงได้นั่นเอง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น