๑๙.
แนวทางการออกเสียงอักษรโดยใช้ฐานและกรณ์
ดังนี้
เวลาออกเสียง ตาลุชอักษร ๘ ตัว คือ อิ อี จ ฉ
ช ฌ ญ ย ต้องใช้ท่ามกลางลิ้นแตะที่เพดานช่วยทำเสียง เพราะฉะนั้น
อักษรเหล่านี้จึงมีตาลุ (เพดาน) เป็นฐาน มีชิวหามัชฌะ (ท่ามกลางลิ้น) เป็นกรณ์.
เวลาออกเสียงมุทธชอักษร คือ ฏ ฐฑ ฒ ณ
ร ฬ
ต้องใช้ที่ใกล้ปลายลิ้นแตะที่ปุ่มเหงือกด้านบน เพราะฉะนั้นอักษรเหล่านี้
จึงมีมุทธะ (ปุ่มเหงือก) เป็นฐาน มีชิวโหปัคคะ (ที่ใกล้ปลายลิ้น) เป็นกรณ์.
เวลาออกเสียงทันตชอักษร คือ ต ถ ท
ธ น ล ส ต้องใช้ปลายลิ้นแตะที่ฟัน เพราะฉะนั้น อักษรเหล่านี้ จึงมีทันตะ (ฟัน)
เป็นฐาน มีชิวหัคคะ (ปลายลิ้น) เป็นกรณ์.
เวลาออกเสียงอักษรที่เหลือ ทั้งหมดคือ
กัณฐชอักษร อ อา ก ข ค ฆ ง ห โอฏฐชอักษร คือ อุ อู ป ผ พ ภ ม และ ( ) ก็ใช้ฐานของตนนั่นเองเป็นกรณ์
เพราะไม่มีกรณ์อื่นนอกจากฐานของตน หมายความว่า
อักษรเหล่านี้มีฐานและกรณ์เป็นอันเดียวกัน.
อักษรที่เกิดใน ๒ ฐาน
คือ เอ โอ ว ง ญ ณ น ม ออกเสียงดังนี้คือ
เอ เกิดในฐานทั้งสอง คือ กัณฐะ (คอ) และตาลุ
(เพดาน) จึงมีลมกระทบที่คอและเพดาน
โอ
เกิดในฐานทั้งสอง คือ กัณฐะ (คอ) และโอฏฐะ (ริมฝีปาก)
จึงมีลมกระทบที่คอและริมฝีปาก.
ว
เกิดในฐานทั้งสอง คือ ทันตะ (ฟัน) และโอฏฐะ (ริมฝีปาก)
ฟันบนจึงกระทบกับริมฝีปากล่าง.
ง ฐ ณ น
ม
เกิดในฐานเดิมและนาสิกฐาน ลมจึงออกจากฐานเดิมไปถึงจมูก
นิคคหิต เกิดใน จมูก (นาสิกฏฐาน) เพราะเหตุนั้น
เวลาออกเสียง อํ อึ อุ ต้องข่มกรณ์ คือ
ปิดกรณ์ไว้ไม่ให้ลมกระทบกับฐานและกรณ์ของสระที่ตนอาศัยอยู่ลมจึงออกทางจมูก
หากปิดจมูกแล้วออกเสียง ลมจะเต็มอยู่ในจมูก เสียงไม่ชัด เพราะฉะนั้น เวลาออกเสียงนิคคหิต
ต้องไม่อ้าปากมาก เพราะถ้าอ้าปาก ลมจะออกทางปากมากไม่ออกทางจมูก ก็จะเป็นการออกเสียงผิด.
เพราะฉะนั้น นิคคหิตนี้ จึงแปลว่า ข่มกรณ์
คือ ปิดกรณ์ไว้ ด้วยเหตุดังกล่าว.
v
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น