อักษรแบ่งออกตามประเภทแห่งลักษณะการออกเสียง
ดังนี้
๒๐. ทีฆะ
กับ รัสสะ
ก่อนอื่นต้องรู้จักคำว่า มาตรา ก่อน
มาตรา คือ ระยะเวลาในการออกเสียง
1
มาตรา มีเวลาประมาณกระพริบตาครั้งหนี่ง หรือดีดนิ้วมือครั้งหนึ่ง เทียบกับเวลา
ได้ประมาณ ครึ่งวินาที.
รัสสะ คือ อักษรที่ออกเสียงไว คือ
คือใช้เวลาสั้น เพียง๑ มาตรา (ครึ่งวินาที)
ทีฆะ คือ อักษรที่ออกเสียงยาว คือใช้เวลา ๒ มาตรา (๑ วินาที)
- สระ อ อิ อุ เป็นรัสสะ เพราะใช้เวลาเพียง ๑ มาตรา
(ครึ่งวินาที)
- สระ อา อี อู เอ โอ เป็นทีฆะ
เพราะใช้เวลา ๒ มาตรา (๑ วินาที)
- สระที่มีพยัญชนะสังโยคอยู่เบื้องหลัง
ใช้เวลา ๓ มาตรา ( ๑วินาทีครึ่ง)
- พยัญชนะที่ไม่ประกอบสระมีเพียง
ครึ่งมาตรา (๑/๔ วินาที)
- พยัญชนะที่มีพยัญชนสังโยค
(ตัวควบ) เช่น กฺวจิ เป็นต้น ออกเสียงครึ่งมาตรา
(๑/๔ วินาที)ข้อสังเกต คำว่า ทีฆะและรัสสะ นี้ใช้เรียกเฉพาะ สระ เท่านั้น แม้พยัญชนะที่ไม่ประกอบกับสระมีเพียง ครึ่งมาตราเท่านั้น ไม่เรียกว่า เป็นรัสสะ. และคำว่า รัสสะ นี้ก็รวมเอาสระที่มีพยัญชนะผสมอยู่ด้วย เช่น ก กิ กุ ดังนั้น รัสสะ จึงรวมเอาอักษรที่มีเวลาออกเสียง ๑ มาตราครึ่งไว้ด้วย (อ ๑ มาตรา + พยัญชนะ ๑/๒ มาตรา รวมเป็น๑ มาตราครึ่ง) ส่วนทีฆะ ก็มีนัยเช่นนี้ รวมไปถึงสระที่ออกเสียงรวมกับพยัญชนะ เช่น กา กี กู เป็นต้น ที่มี ๒ มาตราครึ่ง ไว้ด้วย. จึงพอสรุปได้ว่า รัสสะ ออกเสียง ๑ มาตราไม่เกิน ๒ มาตรา ทีฆะ ออกเสียงตั้งแต่ ๒ มาตราขึ้นไป.
๒๑.
ครุ กับ ลหุ
-
ครุ
เป็นสระที่มีเสียงหนัก ได้แก่
๑. ทีฆสระล้วน ๆ
ที่ไม่ได้ประกอบด้วยพยัญชนะสังโยค เช่น ภูปาโล เป็นต้น
๒.
รัสสสระที่มีสังโยคและนิคคหิตอยู่เบื้องหลังเช่น มนุสฺสินฺโท ทตฺวา เป็นต้น
ในคำว่า มนุสฺสินฺโท สระอุ ที่ มนุ นั้นเป็นครุ , คำว่า ทตฺวา นั้น ท
อักษรที่ประกอบด้วยสระ อ เป็นครุ ต้องออกเสียงหนัก
-
ลหุ
เป็นสระที่มีเสียงเบา ได้แก่ รัสสสระล้วน ๆ ที่ไม่ได้ประกอบด้วยพยัญชนสังโยคและนิคคหิตอยู่เบื้องหลัง
เช่น ปติ มุนิ เป็นต้น
พยัญชนะแบ่งออกตามลักษณะเสียง ดังนี้
๒๒.
อโฆสะ
กับ โฆสะ
-
อโฆสะ เสียงไม่ก้อง
มีลักษณะเสียงที่น้อยและค่อย มี ๑๑ ตัวได้แก่ พยัญชนะที่ ๑ และที่ ๒ ของแต่ละวรรค ได้แก่
ก ข, จ ฉ, ฏ , ต ถ, ป ผ และ
ในพยัญชนะอวรรค คือ ส
-
โฆสะ เสียงก้อง
มีลักษณะเสียงที่มากและแรง มี ๒๑ ตัว คือ พยัญชนะ ตัวที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕
ของแต่ละวรรค ได้แก่ ค ฆ ง, ช ฌ ย, ฑ ฒ ณ,
ท ธ น, พ ภ ม, และพยัญชนะอวรรคที่เหลือ คือ ย ร ล ว ห ฬ
ส่วน อํ นิคคหิต นั้น
ไม่จัดเป็นทั้งโฆสะและอโฆสะ เรียกว่า
โฆสาโฆสวิมุติ เป็นพยัญชนะที่มีเสียงขึ้นจมูก
จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นาสิก เพราะเกิดที่นาสิกฐาน.
๒๓.
สิถิละ กับ ธนิตะ
-
สิถิละ เสียงหย่อน หรืออ่อน ได้แก่
เสียงเบา ได้แก่ พยัญชนะตัวที่ ๑ และที่ ๓ ของแต่ละวรรค คือ ก ค, จ ช, ฏ ฑ, ต ท, ป พ
-
ธนิตะ เสียงแข็ง หรือตึง ได้แก่
เสียงดัง ได้แก่ พยัญชนะตัวที่ ๒ และที่ ๔ ของแต่ละวรรค คือ ข ฆ, ฉ ฌ, ฒ, ถ
ธ, ผ ภ
ข้อควรกำหนด
๑. เสียงอโฆสะและโฆสะ พบได้ในพยัญชนะวรรค
และพยัญชนะอวรรค.
แต่เสียงสิถิละและธนิตะ
พบได้เฉพาะพยัญชนวรรคเท่านั้น
๒. อโฆสะ โฆสะ เป็นเสียงที่ก้องตามธรรมชาติของตัวเองอยู่แล้ว
ดังนั้น
จึงไม่ต้องใช้ความพยายามในการออกเสียงให้ก้อง แต่ สิถิละ ธนิตะ
เป็นเสียงที่ต้องใช้ความพยายามในการออกเสียงให้ดัง หรือ ค่อย
เมื่อเป็นเช่นนี้
จึงมีลำดับความดังและเบาของเสียงดังนี้
พยัญชนะที่เป็นทั้งสิถิละและอโฆสะ
จะออกเสียงเบาที่สุด
พยัญชนะที่เป็นทั้งธนิตะและอโฆสะ
จะมีเสียงดังเป็นลำดับที่ ๒
พยัญชนะที่เป็นทั้งสิถิละและโฆสะ
จะมีเสียงดังเป็นลำดับที่ ๓
พยัญชนะที่เป็นทั้งธนิตะและโฆสะ
จะมีเสียงดังที่สุด.
๓. คำว่า ดัง นี้ ไม่ใช่การตะโกน ตะคอกหรือขู่
แต่อย่างใด และคำว่า เบานี้
ก็มิใช่เสียงเบามาก ดุจเสียงกระซิบ แต่ควรกำหนดว่า สิถิละ คือ อักษรที่อ่อน หรือเสียงเบา,
ส่วนธนิตะ คือ
อักษรที่มีเสียงแข็ง หรือเสียงดัง
เป็นเพียงเสียงที่ดังกว่าสิถิละเท่านั้น
ฉะนั้น จึงมีความหมายว่า เวลาออกเสียงอักษรให้พยายามออกเสียงให้ต่างกันพอสมควรเท่านั้น.
***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น